Smart Symphonies เสียงดนตรี สื่อดีๆ เพิ่มไอคิวจากผลการศึกษาถึงการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์จากการตรวจอัลตราซาวนด์ของ Heinz Prechtl ที่ได้ติดตามและวิเคราะห์ภาพอัลตราซาวนด์สัปดาห์ละ 1 ชั่วโมง ตลอดระยะเวลา 10 ปี พบว่า ทารกมีการพัฒนาความสามารถในการรับรู้ เกี่ยวกับจังหวะตั้งแต่อยู่ในครรภ์ได้แล้ว และสามารถเคลื่อนไหวตอบสนองตามเสียงที่มีจังหวะเร็วและช้าจากการวิจัยดังกล่าวยังพบอีกว่า อัตราการเต้นของหัวใจมีการเปลี่ยนแปลงด้วย อีกทั้งลูกน้อยยังสามารถตอบสนองต่อเพลงที่ได้ยินจนคุ้นเคยและจะมีปฏิกิริยาต่อเพลงที่โปรดปรานด้วย รวมทั้งเพลงหรือดนตรีคลาสสิกที่คุณแม่เคยเปิดให้ฟังเสมอๆ ขณะอยู่ในครรภ์ หลังจากคลอดแล้ว หากเปิดเพลงนั้นอีกลูกน้อยจะแสดงให้รู้ว่า จำได้ และยังมีงานวิจัยหลายชิ้นที่พบว่า เสียงดนตรีจะส่งผลดีต่อสมอง และพัฒนาการทางอารมณ์ของลูกน้อยในครรภ์ในปี พ.ศ.2524 Dr. Leon Thurman นักวิจัยชาวอเมริกันได้ทดลองเปิดเสียงดนตรีให้คุณแม่ตั้งครรภ์ฟังเป็นประจำทุกวัน พบว่า เด็กที่คลอดออกมามีพัฒนาการทางด้านร่างกาย และ I.Q. ทางสติปัญญาสูงกว่าเด็กทั่วไปและเด็กยังเลี้ยงง่าย มีอารมณ์แจ่มใส รวมทั้งมีความผูกพันกับคุณแม่มากขึ้นด้วยจากความสำคัญในการเสริมสร้างสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อการพัฒนาสมองของลูกน้อยในครรภ์ด้วยการฟังดนตรีนี้ Dr. Thomas R.Verny จิตแพทย์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และประธานสมาคมการเสริมสร้างพัฒนาการเด็กในสหรัฐอเมริกา เคยกล่าวไว้ว่า ในกลุ่มคุณแม่ที่ร้องเพลงกล่อมเด็กให้ลูกในครรภ์ฟังทุกวันอย่างสม่ำเสมอนั้น เมื่อลูกน้อยคลอดออกมาแล้ว และได้ยินเสียงเพลงนี้จากคุณแม่อีก ลูกน้อยมีแนวโน้มที่จะนิ่งเงียบ และแสดงอาการสนใจเพลงนั้นเป็นอย่างมากข้อควรระวัง หากคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ไม่ชอบฟังดนตรีคลาสสิกและรู้สึกอึดอัด ไม่คุ้นเคย ก็ไม่ควรฝืนฟัง เพราะจะมีผลต่ออารมณ์ของคุณแม่ ในกรณีนี้คุณแม่สามารถหาเพลงที่ฟังแล้วรู้สึกสบาย อารมณ์ดี ซึ่งจะเป็นการดีต่อลูกน้อยมากกว่าที่คุณแม่ฝืนฟังเพลงที่รู้สึกอึดอัดเริ่มให้ลูกฟังดนตรีขณะอายุครรภ์กี่เดือน ดีความเหมาะสมในช่วงการตั้งท้องและเริ่มเปิดเพลงที่คุณแม่ชื่นชอบฟังแล้วสบายใจพร้อมกับลูกรับรู้ด้วยควรเริ่มในช่วงตั้งท้อง 5 เดือน เนื่องจากขณะนั้นทารกมีอวัยวะครบทุกส่วนร่างกายสมบูรณ์แล้ว รับรู้การได้ยิน สิ่งสำคัญอีกหนึ่งเรื่อง คนทั่วไปมักเข้าใจว่าเพลงที่จะเสริมสร้างสมองให้ลูกต้องเป็นเพลงของโมซาร์ทเท่านั้น ความจริงแล้วคุณแม่สามารถฟังเพลงได้ทุกประเภทที่ชอบ อาจจะเป็นบทสวดมนต์ เพลงไทยเดิม หรือดนตรีที่มีโน้ตจากเครื่องดนตรีประเภทใดประเภทหนึ่ง เนื่องจากหากคุณแม่มีความสุขทารกที่อยู่ภายในครรภ์จะได้รับความสุขด้วย"ด้าน ดร.สุพรพร เทพยสุวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัย บอกว่า การสังเกตว่าลูกมีการตอบสนองหรือไม่นั้นเวลาที่คุณพ่อหรือคุณแม่เปิดดนตรีให้ลูกฟัง หากเป็นเพลงที่ฟังง่ายๆ สบายๆ ทั้งคุณแม่จะผ่อนคลาย หากเป็นเพลงที่มีจังหวะเร็ว เด็กจะดิ้นแรงมีปฏิกิริยาตอบสนอง โดยคลื่นเสียงช่วยปรับให้สมองมีการพัฒนาด้านดีด้วยดนตรีเมื่อรู้เช่นนี้แล้วช่วงรอเวลาที่จะได้พบกับลูกน้อย คุณพ่อคุณแม่ก็อย่าลืมเปิดเพลงไพเราะให้ลูกน้อยในครรภ์ได้ฟังเพื่อที่ทั้งคุณพ่อคุณแม่และคุณลูกจะได้มีความสุขไปพร้อมๆ[ที่มา: เว็บไซต์สนุกดอทคอม]
life on music
บทความเชิงวิชาการทางด้านดนตรี
เสียงดนตรีช่วยกระตุ้นพัฒนาการทารกในครรภ์
วันเสาร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
เขียนโดย Nattaya ที่ 02:08 0 ความคิดเห็น
บทความทางวิชาการเรื่องยุคสมัยของดนตรีสากล
วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554
1. สมัยกลาง (The Middle Age ค.ศ.850-1450) พ.ศ.1393-1993 ก่อนสมัยนี้ราวศตวรรษที่ 6 ดนตรีขึ้นอยู่กับศาสนา Pope Gregorian เป็นผู้รวบรวมบทสวดเป็นทำนองเดียว โดยได้ต้นฉบับจากกรีก ซึ่งเป็นภาษาละติน ต่อมาจึงมี 2 ทำนอง และในสมัยกลางนี้เองได้เริ่มมีการบันทึกตัวโน้ตโดยมีพระองค์หนึ่งเป็นชาวอิตาเลียนชื่อ Guido D'Arezzo (พ.ศ.1538-1593) ได้สังเกตเพลงสวดเก่าแก่เป็นภาษาละตินเพลงหนึ่งแต่ละประโยคจะมีเสียงค่อยๆ สูงขึ้น จึงนำเอาเฉพาะตัวแรกของบทสวดมาเรียงกัน จึงออกมาเป็น Do Ra Me Fa Sol La Te Do (เว้นตัว Te เอาตัวที่ 2 ) ต่อมาค.ศ.1300 (พ.ศ.1843)ดนตรีก็เริ่มเกี่ยวกับศาสนาอย่างแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น2. สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา (The Renasissance Period ค.ศ.1450-1650) ยุคนี้เริ่มตั้งแต่พ.ศ.1993-2143 ตรงกับสมัยโคลัมบัสและเชียสเปียร์ ดนตรีในยุคนี้มักจะเป็นการเริ่มร้องหมู่เล็กๆ ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับการร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า ร้องกันในโบสถ์มี 4 แนว คือ โซปราโน อัลโต เทเนอร์และเบสการร้องจะมีออร์แกนหรือขลุ่ยคลอ ดนตรีในสมัยนี้ยังไม่มีโน้ตอ่าน และมักเล่นตามเสียงร้อง3. สมัยโบราค (BaroQue ค.ศ.1650-1750) ยุคนี้เริ่มตั้งแต่พ.ศ.2143-2293 และนักดนตรีที่มีชื่อเสียงในยุคนี้ได้แก่ บาค ไฮเดิล ในยุคต้นของสมัยโบราคนั้น (พ.ศ.2143-2218) มีเครื่องดนตรีประมาณ 20-30 ชิ้นสลับกันเล่น เพื่อให้มีรสชาติในการฟังเครื่องดนตรีในการคลอเสียงร้อง เช่นลิ้วท์ ขลุ่ย ต่อมาได้วิวัฒนาการใช้เครื่องสายมากขึ้น เพื่อประกอบการเต้นรำ รวมทั้งเครื่องลมไม้ด้วย ซึ่งในสมัยนี้ผู้อำนวยเพลงจะเล่นฮาร์พซิคอร์ด4. สมัยคลาสสิค (Classical Period ค.ศ.1750-1825) ตั้งแต่พ.ศ.2293-2368 สมัยนี้ตรงกับการปฏิวัติและปฏิรูปในอเมริกา ไฮเดิลเป็นผู้ริเริ่มในการแต่งเพลงคลาสสิค การแต่งเพลงในยุคนี้เกิดจากความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการของคีตกวี ที่จะเลือกใช้เครื่องมือให้เหมาะสมกับลีลาและโอกาสตามอารมณ์ของดนตรี เช่น ดนตรีลักษณะหวานก็ใช้ไวโอลิน ถ้าแสดงความองอาจกล้าหาญก็ใช้แตรทรัมเปต และถ้ามีการเดี่ยวเครื่องดนตรีต้องศึกษาและเล่นให้ถูกต้องตามแบบแผน เพราะดนตรีในยุคนี้จะเริ่มเข้าร่องเข้ารอยมากขึ้น 5. สมัยโรแมนติก (Romantic Period ค.ศ. 1825-1900) พ.ศ.2368-2443 สมัยนี้ตรงกับสมัยนโปเ้ลียนในฝรั่งเศส เพลงในสมัยนี้ผิดไปจากเพลงในสมัยก่อนๆ คือ เมื่อก่อนเริ่มแรกเกี่ยวกับศาสนา ต่อมาเริ่มมีการเลือกใช้เครื่องดนตรี และพอมาถึงสมัยนี้จะแต่งตามจุดประสงค์ ตามอารมณ์ของคีตกวี โดยเฉพาะในยุคนี้แต่ละประเทศในยุโรปจะมีความนิยมไม่เหมือนกัน เช่น ลักษณะของเพลงร้อง เพลงประกอบละคร เพลงเต้นรำแบบวอลท์ ซึ่งมักจะเป็นไปตามความคิดของคีตกวีและความนิยมส่วนใหญ่ 6. สมัยอิมเพรสชั่นนิสซึม (Impressionism ค.ศ.1850-1930) พ.ศ.2393-2473 เป็นสมัยแห่งการใช้ความคิดสร้างสรรค์ โดยดัดแปลกความดั้งเดิมจากสมัยโรแมนติกให้แปลกออกไปตามจินตนาการของผู้แต่ง เปรียบเทียบได้กับการใช้สีสันในการเขียนรูปให้ฉูดฉาด ในด้านดนตรีของสมัยนี้ผู้แต่งมักสรรหาเครื่องดนตรีแปลกๆ จากต่างประเทศ เช่น จากอินเดียมาผสมให้มีรสชาติดีขึ้น การประสานเสียงบางครั้งแปร่งๆ ไม่รื่นหูเหมือนสมัยก่อน ก็สามารถจำเอาทำนองเพลงจากทางเอเชียหรือประเทศใกล้เคียงมาดัดแปลงให้เหมาะสมกับดุริยางค์7. สมัยคอนเทมพอลารี (Comtempolary ค.ศ.1930-ปัจจุบัน) หรือ Modern Music-Eletronics ตั้งแต่พ.ศ.2473 จนถึงปัจจุบัน ชีวิตของคนปัจจุบันอยู่กับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ คือได้รู้ ได้เห็นในสิ่งที่แปลกใหม่ เช่น ไอพ่น ยานอวกาศ ดังนั้นนักแต่งเพลงปัจจุบันจึงเปลี่ยนวิธีของการประพันธ์เพลงให้สอดคล้องกับปัจจุบันมากยิ่งขึ้น
เขียนโดย Nattaya ที่ 23:46 0 ความคิดเห็น
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)